Thursday, 23 March 2023

เปิดใจ “ครูยุ่น” นั่งตอบทุกคำถาม เงื่อน “ทำร้ายร่างกาย –ใช้แรงงานเด็ก” ในมูลนิธิ

นายมนตรี สินทวิชัย หรือ ครูยุ่น เข้ารับทราบข้อหา ทำร้ายร่างกายแล้วก็ พ.ร.บ.แรงงาน ตามหมายเรียกของพนักงานที่มีหน้าที่สำหรับสอบสวน สภ.อัมพวา แล้ว พร้อมยืนยัน เจตนา คือการทำโทษอบรมสั่งสอน ไม่ใช่การทำร้ายทารุณ แล้วก็พร้อมตอบคำถามกับสื่อมวลชนในทุกประเด็น

นายมนตรี สินทวิชัย หรือ ครูยุ่น เลขาธิการมูลนิธิคุ้มครองเด็ก จังหวัดสมุทรสงคราม เข้ารับทราบข้อกล่าวหาในคดีทำร้ายร่างกายเด็กแล้วก็เยาวชนในมูลนิธิ แล้วก็ความผิดตาม พ.ร.บ.แรงงาน โดยให้การไม่ยอมรับข้อกล่าวหา พร้อมยืนยันว่า การตีเด็กในคลิปวิดีโอที่ปรากฏ เกิดขึ้นภายหลังการกระทำผิดของเด็กๆ

ครูยุ่นทำร้ายร่างกาย

โดยอ้างว่า เด็ก ๆ ลงเล่นน้ำในแม่น้ำแม่กลอง

โดยในกลุ่มมีเด็กว่ายไม่เป็น ซึ่งเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนคำสั่งห้ามแล้วก็เป็นอันตรายต่อชีวิต แล้วก็มีบางคนยุ่งเกี่ยวยาเสพติด โดยพยายามเชิญชวนคนอื่นด้วย ก็เลยทำโทษอบรมสั่งสอน ไม่ใช่เจตนาการทำร้ายทารุณ

ส่วนประเด็นการรื้อข้าวของ รื้อเสื้อผ้ารวมทั้งการเทสิ่งปฏิกูลใส่เสื้อผ้าของเด็กๆตามคำที่เด็กกล่าวอ้างเล่าให้กับกลุ่มนักศึกษาจิตอาสาฟังนั้น นายมนตรี ยอมรับว่า เป็นคนรื้อเสื้อผ้าออกมากองรวมกันจริง พร้อมอ้างว่าเสื้อผ้าที่กองรวมกันในรูปภาพเป็นเสื้อผ้าที่ถูกสวมแล้ว แต่มีเด็กบางคนที่ไม่ยอมซัก แต่กลับนำไปซุกซ่อนตามตู้ตามล็อกเกอร์ เมื่อตนเองทราบก็เลยรื้อออกมาแล้วก็ทำโทษเด็ก โดยการให้คัดเลือกแยกนำเสื้อผ้าไปซัก เก็บพับ ให้เรียบร้อย

ยังมีประเด็นการใช้งานเด็กแล้วก็เยาวชน ที่อยู่ในความดูแลของมูลนิธิให้เข้าทำงานในรีสอร์ทซึ่งเป็นธุรกิจครอบครัว นายมนตรี ยืนยันว่า รีสอร์ทเป็นธุรกิจครอบครัวจริง แต่ไม่เคยว่าจ้าง หรือใช้แรงงานเด็กๆทำงาน ภาพที่ปรากฏเป็นลักษณะเด็กตามไปช่วยงาน บ้างก็ไปนั่งพักผ่อนตามปกติไม่มีการจ่ายค่าจ้างหรือจำกัดเวลาบังคับทำงาน

ขณะที่ประเด็นการหักเงินค่าขนมหรือเงินไปโรงเรียน ซึ่งทำให้เกิดการตั้งข้อสงสัยถึงเงินบริจาคที่มูลนิธิได้รับว่าอาจจะจัดแบ่งไม่โปร่งใส นายมนตรี ชี้แจงว่า การหักเงินมีจริงแต่เป็นการหักเงินเพื่อทำโทษ ซึ่งจะหักทีละ 5 บาทถึง 10 บาท ในกรณีที่เด็กไม่ทำหน้าที่ของตัวเอง เช่นไม่ทำงานบ้าน ตามตารางเวนที่แบ่งหน้าที่กัน ซึ่งเงินที่ถูกหักก็จะถูกเพิ่มเติมให้กับคนอื่นที่ทำหน้าที่ของตัวเอง ตามกฎระเบียบ ไม่ได้หักแล้วเก็บไว้เอง

ครูยุ่นใช้แรงงานเด็ก

นายแก้วสรร อติโพธิ ประธานมูลนิธิคุ้มครองเด็ก แล้วก็นายมนตรี ย้ำว่า

เงินบริจาคของมูลนิธิมีบัญชีรายรับ รายจ่ายชัดเจน ซึ่งตนเองในฐานะประธานได้รับรายงานเป็นประจำทุกปีสามารถตรวจสอบได้ ส่วนเรื่องใบอนุญาตการตั้งขึ้นสถานสงเคราะห์เด็ก ฉบับเดี๋ยวนี้จะหมดอายุในตอนเดือนมกราคม 2566 นายมนตรี กล่าวว่า หากภาครัฐไม่พิจารณาต่อใบอนุญาตก็จำใจต้องปิดสถานสงเคราะห์ลง แต่มูลนิธิยังสามารถดำเนินการต่อได้ เพราะคนละส่วนกัน เด็กที่จะอยู่ต่อก็อยู่ได้ ส่วนที่สมัครใจกลับบ้านหรือไปอยู่ในความดูแลของหน่วยงานอื่นๆก็ยินดี ไม่มีจำกัดอิสรภาพ

ส่วนการดำเนินการที่ผ่านมา มีครูพี่เลี้ยงจำนวน 5 คน มีจำนวนเด็กอยู่ที่ประมาณ 50 ถึง 60 คน ซึ่งเด็กแต่ละคนก็ต่างที่มาจากทั่วประเทศ พร้อมยอมรับว่า การดูแลเด็กต่างที่มา ต่างช่วงวัยย่อมมีนิสัยแล้วก็พฤติกรรมแตกไม่เหมือนกันไป ทำให้การสั่งสอน ดูแล มีความแตกไม่เหมือนกันไปด้วย แต่มีการใช้ถ้อยคำไม่สุภาพบ้าง การลงโทษด้วยการตีบ้าง ล้วนเป็นเจตนาเพื่อการสั่งสอน

สำหรับการช่วยเหลือเด็ก จนถึงขณะนี้มีเด็กแล้วก็เยาวชน ที่อยู่ในความดูแลของกระทรวงพัฒนาสังคมแล้วก็ความมั่นคงของมนุษย์ รวม 29 คน ด้วยกัน คือกลุ่มแรก 8 คน แล้วก็กลุ่มเมื่อวานอีก 21 คน โดยมีช่วงวัยตั้งแต่ 1 – 20 ปี ส่วนเด็กแล้วก็เยาวชนที่ยังอยู่ในมูลนิธิ อีกเกือบจะ 30 ปลัดกระทรวงพัฒนาสังคมแล้วก็ความมั่นคงของมนุษย์ ยืนยันจะเข้ารับตัวทั้งหมด ออกมาอยู่ในความคุ้มครองสวัสดิภาพ ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 อย่างเร็วที่สุด